Neil Harbisson ศิลปินผู้ได้ยิน ‘เสียงของสี’
Neil Harbisson เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติทางสายตาไม่สามารถมองเห็นสีได้ทุกสี หรือที่รู้จักกันว่าตาบอดสีนั่นเอง ทำให้เขาได้ฝังอุปกรณ์ Eyeborg ไว้ในหัว เพื่อที่จะได้สามารถมองสีต่างๆได้เหมือคนปกติทั่วไป โดยเจ้าอุปกรณ์ตัวนี้จะแปลงสีที่เห็นเป็นสัญญาณเสียงเข้าสู่สมองของเขา ทำให้เขาได้สัมผัสกับโลกใหม่ที่กว้างขึ้น

เมื่อเขามีศักยภาพในการสัมผัสรับรู้เสียงจากสีที่อยู่รอบตัว ทำให้มุมมองของการได้ยินจากสีนั้นเปลี่ยนไป เขาได้เปลี่ยนวิธีการแต่งตัว เพื่อให้มีเสียงที่ดี (sound good) เขาเลือกสวมเสื้อผ้าสีที่เป็นในระดับเสียงของ C major ที่เป็นคอร์ดเสียงที่เบิกบานเมื่อออกไปพบเพื่อนฝูง หากต้องไปงานศพ เขาจะเลือกสีที่อยู่ในระดับเสียง B minor ซึ่งเป็นพวกสีเทอก๊อยส์ สีม่วง หรือ สีส้ม
ประสบการณ์ที่สำคัญต่อนีล คือ การไปหอศิลป์ เพื่อไปดูภาพวาดจิตรกรรมของและรับรู้ผ่านเสียงว่าภาพวาดไหน เป็นดนตรีประเภทใด เมื่อเขาไปยืนหน้าจิตรกรรมของปิกัสโซ เขาได้ยินดนตรีจากจิตรกรรมนั้น ทำให้การไปหอศิลป์ จึงเหมือนเขาไปคอนเสิร์ตเลยทีเดียว
ทำให้เขาเริ่มวาดภาพจากเสียง ตามที่เขาได้ยิน เพราะเสียงคนมีความถี่ต่างๆที่เชื่อมตัวเขากับสีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สปีช เพลง หรือแม้กระทั่ง รูปลักษณ์ใบหน้าของคน หลังจากได้ฟังเสียงจากหน้าตาของผู้คนมามากมาย เขาบอกว่าแท้จริงแล้ว “โลกนี้ไม่มีคนดำหรือคนขาว” เพราะเมื่อลองฟังให้ลึกลงไป ไม่ว่าจะฟังซ้ำๆ สักเท่าไหร่ ก็ยังได้ข้อสรุปว่า “พวกเราทุกคนคือสีส้ม”



ต้องขอบคุณความสามารถด้านดนตรีของเขา ที่หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่ปี Neil Harbisson ก็สามารถแยกแยะตัวโน้ตได้ถึง 360 ตัว นั่นหมายถึงการรับรู้สีได้ครบทั้ง 360 สี เท่ากับจำนวนที่มนุษย์ปกติมองเห็น แต่ที่ล้ำไปกว่านั้น เขายังสามารถขยายการรับรู้สีไปถึงระดับที่คนทั่วไปมองไม่เห็น อย่างการฟังเสียงของ ลำแสงอินฟราเรด และ แสงอัลตราไวโอเลตอีกด้วย
นอกจากนี้เขายังสร้างสรรค์งานศิลปะจากเสียงและสี ผ่านแผ่นเสียง โดยการเพ้นท์สีลงในแต่ละแทร็คเพลงที่เค้าได้ยิน ซึ่งสีที่ถูกเพ้นท์ลงแผ่นเสียงสามารถรับฟังผ่านแอพที่แปลงสีเป็นเสียงได้อีกด้วย



สามารถรับชมมุมมองของเสียงและสีของ Neil Harbisson ได้ทาง Ted-Talk