ช่วงหยุดยาวนี้ บางคนอาจจะออกไปเที่ยวเพื่อพักผ่อนจากงานประจำที่ทำอยู่ทุกวัน สำหรับใครที่เบื่อการออกไปเที่ยวหรือไม่มีแพลนไปไหน และไม่รู้จะทำอะไรดี เรามีหนังเกี่ยวกับดนตรีมาแนะนำกันให้ดูในช่วงอากาศร้อนๆ แบบนี้กัน
Amy (Asif Kapadia, 2015)
“Life teaches you really how to live it, if you live long enough” คือคำพูดของ Tony bennett ที่กล่าวถึง Amy ในช่วงท้ายของหนัง และเป็นประโยคที่ทำให้เราร้องไห้น้ำตาแตกกลางโรงหนัง
Amy Winehouse ถือเป็นศิลปิน Jazz/soul รุ่นใหม่ที่มีคุณภาพคนนึง และเราชอบมากๆ ด้วยเนื้อร้องและเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ จะเรียกว่าในช่วงชีวิตนึงของเรามีเพลงของ Amy เป็นเพลงประจำตัวเลยก็ว่าได้
หนังสารคดีความยาว 2 ชั่วโมงนิดๆ กำกับโดย Asif Kapadia นี้ เล่าเรื่องของ Amy ตั้งแต่เด็ก เติบโต จนเธอจากไปในวัย 27 ปี ผ่านคำบอกเล่าจากตัวเธอเองไปจนถึงครอบครัวและเพื่อนๆของเธอ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอที่ด่วนจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย และผ่านบทเพลงแต่ละเพลงที่สะท้อนถึงอารมณ์และความรู้สึกในช่วงแต่ละเวลาของเธอ
La La Land (Damien Chazelle, 2016)
หนัง romantic musical กำกับโดย Damien Chazelle ที่เคยสร้างผลงานใน Whiplash มาแล้ว
La La Land เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ “Sebastian” (รับบทโดย Ryan Gosling) หนุ่มนักเปียโนแจ๊สที่มาพบรักกับ “Mia” (รับบทโดย Emma Stone) สาวบาริสต้าประจำร้านกาแฟแห่งหนึ่งใน Los Angeles Sebastian ฝันอยากเปิดผับแจ๊สเล็กๆ เป็นของตัวเอง ส่วน Mia ก็ตามล่าความฝันอยากจะเป็นนักแสดงด้วยการไปออดิชั่นตามโรงถ่ายละคร ในเมืองแห่งดาราที่ความฝันกับความจริงอยู่ห่างกันเพียงเอื้อม แต่เส้นทางและความฝันของทั้งคู่ต่างเลือกเดินกันไปคนละเส้นทาง การประคับประคองทั้งความรักและความฝันไปด้วยกันของทั้งคู่จะจบลงแบบไหน เราอยากให้ไปดูกันเอง
จริงๆ แล้วต้องบอกว่าพล็อตมัน cliche มากๆ แต่สิ่งที่พิเศษของเรื่องนี้คือเทคนิคการถ่ายทำฉากร้องเพลงและเต้นแบบ long lake อย่างเพลง another day in the sun นี่แหละ ที่เรารู้สึกว่า God is the detail มันคือแบบนี้แหละ ด้านเพลงก็ได้ Justin Hurwitz ซึ่งเป็นเพื่อนกับ Chazelle ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยและทำเพลงให้ใน whiplash อีกด้วยเช่นกัน
Eric Clapton: Life in 12 Bars (Lili Fini Zanuck, 2017)
สารคดีชีวประวัติที่เล่าเรื่องของ Eric Clapton มือกีต้าร์บลูส์ระดับตำนาน เจ้าของฉายา slowhand โดยเริ่มต้นจากการเล่าเรื่องในวัยเด็กที่เกิดจากความสัมพันธ์แบบชั่วคราว และแม่ก็ไม่ได้ต้องการจะมีเขา ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่กับตาและยาย โดยที่คิดว่า ตาและยายนั่นแหละคือพ่อแม่แท้ๆ ของเขา เมื่อมารู้ความจริงเอาทีหลัง ดนตรีจึงเป็นสิ่งเติมเต็มความโดดเดี่ยวในชีวิต
จากนั้นหนังก็เล่าถึงการเติบโตในเส้นทางดนตรี การเป็นคนดัง ความรัก ความผิดหวัง ยาเสพติด และการสูญเสีย สิ่งที่หล่อหลอมให้ Eric เป็นแบบในปัจจุบัน ผ่านรูปภาพ วิดีโอฟุตเทจ และคำบอกเล่าของคนรอบตัว แน่นอนว่าในหนังต้องมีเพลงของ Eric ในช่วงเวลาต่างๆที่ว่ามา เช่นเพลง Leyla ที่เล่าถึงความรักต้องห้ามที่มีให้แก่ Pattie Boyd ซึ่งตอนนั้นเป็นเมียของเพื่อนซี้อย่าง George Harrison หรือเพลง tears in heaven ที่เขาแต่งให้ลูกชายที่จากไปในอุบัติเหตุ
How the Beatles changed the world (Tom O’Dell, 2017)
หนึ่งในวงดนตรีที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คงหนีไม่พ้นวงดนตรี 4 ชิ้นจาก Liverpool ที่ชื่อว่า The Beatles
สารคดีเรื่องน้ีจะพาเราไปสำรวจว่าทำไม The Beatles ถึงเปลี่ยนโลกของดนตรีและวัฒนธรรมไปได้ตลอดกาล โดยเริ่มจากช่วงปี 60s ที่วงเริ่มต้นและเป็นช่วงหลังสงคราม โดยใช้ฟุตเทจเก่าๆ ตัดสลับกับบทวิเคราะห์ว่า เพราะอะไร The Beatles ถึงสามารถปฎิวัติวัฒนธรรมโลกและวงการดนตรีในขณะนั้น ตั้งแต่ระบบสังคม
ไปจนถึงปรากฏการณ์ที่เรียกว่า British Invader ที่ไม่เคยมีวงดนตรีวงไหนข้ามน้ำข้ามทะเลจากฝั่งอังกฤษมาตีตลาดเพลงอเมริกาให้กระจุยได้ขนาดนี้
Oasis: Supersonic (Mat Whitecross, 2016)
ข้ามจาก Liverpool มาเมือง Manchester ในยุค 90s กันบ้าง แน่นอนว่าไม่ใช่วงอื่นใดนอกจาก Oasis
เพลงของ Oasis ไม่ว่าจะเพลงไหน ถ้าได้เล่นในร้านเหล้าแล้ว มีอันต้องพร้อมใจร้องตามกระหึ่มกันทั้งร้าน หนึ่งในวงที่มีชื่อเสียงและชื่อเสียที่สุดในยุค 90s นำโดยสองพี่น้องตระกูล Gallagher คือ Liam และ Noel ผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งส่งให้สารคดีเรื่องนี้สนุกยิ่งขึ้นไปอีก
Oasis: Supersonic คือหนังสารคดีที่เล่าเรื่องราวของวง Oasis ช่วงปี 1991-1994 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นไปจนถึงยุคทองของวง โดยเล่าผ่านวิดีโอที่บันทึกไว้และไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน และใช้เสียงสัมภาษณ์ของ Liam และ Noel แบบ voiceover เป็นหลัก โดยใช้เพลงประกอบตามช่วงเวลาเหมือนหลังสารคดีเพลงทั่วๆ ไป แต่ที่พิเศษกว่าเรื่องอื่นก็น่าจะเป็นความกวนโอ๊ย กัดกันไปกัดกันมาของสองพี่น้องนี่แหละ