Sofa Talk : American-Thai rapper, songwriter, producer and actor.
He is part of the No. 1 Hip Hop group “Thaitanium”

DaBoyWay ไอคอนฮิปฮอปไทย และเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่นำแนวเพลงฮิปฮอปเข้ามาเป็นที่รู้จักในไทยเลยก็ว่าได้ เขาเป็นส่วนหนึ่งของวงฮิปฮอปในตำนานอย่างวง “Thaitanium” ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เพลงของพวกเขายังคงเป็นที่นิยมในวงการฮิปฮอป อยู่เสมอมา และยังเป็นเบื้องหลังที่คอยผลักดันให้มีพื้นที่ของดนตรีจากอีกซีกโลกในประเทศไทย รวมทั้งช่วยซัพพอร์ตรุ่นน้องหลายคนให้เติบโตเป็นแรปเปอร์ที่แข็งแกร่ง

เวย์ เกิดและเติบโตที่ Brooklyn, New York กลับมาเมืองไทยตอนอายุ 16 ปี และค่อย ๆ เริ่ม ก่อร่างสร้างวัฒนธรรมฮิปฮอปในกรุงเทพ ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศไทย และต่างประเทศ จนได้ร่วมมือกับศิลปินต่างชาติหลากหลายคน รวมถึง Anarchy และ Snoop Dogg อีกด้วย จนถึงปัจจุบัน DaBoyWay ก็ยังคงสร้างสรรค์งานเพลง พร้อมปั้นศิลปินฮิปฮอปหน้าใหม่จากค่าย Def Jam Thailand ผลิตผลงานดี ๆ มาให้พวกเราได้เสพกันอยู่เรื่อย ๆ มาร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนมุมมองความคิดจากผู้ที่อยู่จุดเริ่มแรกของวงการฮิปฮอปไทยจนถึงปัจจุกันไปพร้อม ๆ กัน!

เริ่มเข้าสู่วงการฮิปฮอปได้อย่างไร ?

ผมเริ่มฟังและชอบเพลงฮิปฮอปมาตั้งแต่เด็ก  ฟังศิลปินหลายคนเช่น Wu-Tang Clan, Biggie, Tupac Shakur, Jay Z สะสมทั้งเทป ซีดี หนังสือ จำได้ว่าซีดีอันแรกคือ Wu-Tang กับ Warren G พอย้ายมาอยู่ที่ไทยก็เริ่มหัดแต่งเพลง ตอนแรกเขียนเพลงภาษาอังกฤษ แต่ตอนนั้นขันบอกว่า ถ้าอยากให้คนไทยฟังรู้เรื่องต้องเขียนเพลงไทย หลังจากนั้นก็ฝึกเขียนเนื้อเพลงภาษาไทยทุกวัน

Wu-Tang Clan

แล้วอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เป็นแร็ปเปอร์ ?

ส่วนตัวชอบเพลงฮิปฮอปมาก ๆ อยู่แล้ว ฟังศิลปินหลากหลายมาก และสะสมเทป, ซีดีต่าง ๆ เอาไว้ด้วย

จากการเติบโตที่นิวยอร์ก มองว่าระหว่างเพลงฮิปฮอปในต่างประเทศ (อเมริกา) และในประเทศไทยต่างกันอย่างไร ?

ที่อเมริกากระแสเพลงฮิปฮอปบูมมากซึ่งในประไทยยังไม่มีกระแสเพลงฮิปฮอปเลย ด้วยความชอบ รัก และอยากทำ อยากแต่งตัวสไตล์นี้ ไม่ได้สนใจว่าที่ไทยใครจะว่ายังไง เพราะที่เมืองไทยยังไม่มีกระแสฮิปฮอปในตอนนั้น เพลงของ Thaitay ช่วงแรก ๆ ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตตอนอยู่ที่อเมริกา เพราะชีวิตช่วงนั้นผมและเดย์เจอปัญหาในด้านต่าง ๆ ทั้งไม่มีที่อยู่ ไม่มีงานทำ ชีวิตกำลังมันส์ มีความท้าทาย ซึ่งในช่วงนั้นต้องอาศัยให้ขันอัดเพลงให้เพราะเขาทำงานในด้านนี้อยู่แล้ว

หลังจากกลับมาประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง ?

ผมกลับมาเมืองไทยตอนปี 1996 อายุ 16 ปี อยู่ไทยได้ประมาณ 2 ปี ได้มาอยู่ค่าย Grammy แต่ก็ไม่ค่อยใช่ตัวเราสักเท่าไหร่ ทางค่ายก็ให้เราไปเล่นหนัง ซึ่งเราก็ชอบการแสดงมาก และตอนปี 1998 ก็ย้ายกลับไปอยู่นิวยอร์ค ไปสมัครเรียนการแสดง ได้แคสติ้งที่ Columbia University จนได้เล่นหนังเรื่อง “Rhythm of the Saints” ซึ่งได้ไปปรากฏใน Sundance ในปี 2004 แต่ระหว่างที่เป็นนักแสดงก็ทำเพลงกับขันและเดย์ไปด้วย เพลงที่ทำส่วนมากอยู่ในอัลบั้มแรก “AA Crew” หลังจากนั้นก็กลับมาเล่นคอนเสิร์ตในเมืองไทย เราก็เห็นว่าในไทยเริ่มมีกระแสฮิปฮอปแล้ว เราเลยปั๊มแผ่นขาย จากหนึ่งพันแผ่นจนถึงหมื่นแผ่น

อยู่ในวงการฮิปฮอปมาตั้งแต่ปี 2000 จนถึงตอนนี้ คิดว่าฮิปฮอปในประเทศไทยตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ? เสน่ห์ของความเป็นฮิปฮอปในไทย 20 ปีที่แล้วกับตอนนี้ต่างกันไหม ?

เสน่ห์ของฮิปฮอปยังเหมือนเดิมในไทย แต่ตอนนั้นเพลงฮิปฮอปยังไม่เป็นที่นิยมในวงกว้าง จะมีแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ฟังและเข้าใจ แต่ตอนนี้เพลงฮิปฮอปกว้างขึ้นมาก เข้าถึงได้ง่าย การทำเพลง คิดจังหวะ ทำนองต่าง ๆ ก็สามารถทำได้เอง

เห็นภาพวงการฮิบฮอปไทยในอีก 5-10 ปี เป็นยังไง คิดว่าจะเป็นที่นิยมและมีพื้นที่ในสากลมากขึ้นขนาดไหน ?

กระแสฮิปฮอปยังคงอยู่แน่ ๆ และคิดว่าจะพัฒนาตามเทรนด์ไปเรื่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้น ช่องทางสำหรับคนอยากเป็นแร็ปเปอร์ก็กว้างขึ้นด้วย เพิ่มงาน ช่องทางการผลิตเพลงมากขึ้น ใครอยากทำอะไรก็ได้ตามความชอบและความสนใจ มีการร่วมงานกันมากขึ้นระหว่างฝ่ายครีเอทีฟ กับโปรดักชั่นต่าง ๆ มากขึ้นด้วย

เริ่มสะสมแผ่นเสียงตั้งแต่เมื่อไหร่ และนอกจากเพลงฮิปฮอปมีแนวเพลงไหนที่ชอบเป็นพิเศษไหม ?

ผมสะสมแผ่นเสียงมาเรื่อยๆ ตอนนี้มีแผ่น 45 ซิงเกิล มีประมาณหมื่นแผ่น ส่วนแผ่น 12” มีประมาณพันแผ่น ซึ่งจะมีแนวเพลงอื่นๆนอกจากฮิปฮอปด้วย ผมชอบ cracking sound จากเทิร์นเทเบิล ผมชอบสะสมอะไรที่เกี่ยวกับฮิปฮอป Pop culture และ ไลฟ์สไตล์ นอกจากฮิปฮอปก็ชอบ เรกเก้, R&B, Rock แต่จะฟังเรกเก้เยอะเป็นพิเศษ จริง ๆ ให้ลูก ๆ ฟังเรกเก้ด้วย เขาชอบฟังเพลงและผมก็เปิดโอกาสให้เขาได้ฟังเพลงที่หลากหลาย 

แนะนำแผ่นโปรดหน่อย ?

ผมมี Jay Z (First Copy) และแผ่นซิงเกิลเพลง “Dead President” ที่เก็บไว้ตลอด ไม่ได้มีแผ่นโปรด แต่ผมชอบดูปกอัลบั้มแผ่นเสียง ชอบอ่านรายละเอียด โปรดักชั่นบนปกแผ่นเสียงตั้งแต่เด็ก นั่งอ่านว่าใครทำฝ่ายไหน ใครเขียนเพลง หรือทำอะไรในงานนี้ พอมันเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เราก็สามารถ appreciate มันมากกว่า พอตอนนี้เป็นดิจิตอล ก็ไม่มีโอกาสได้อ่านรายละเอียดอัลบั้มหรือเพลงเท่าไหร่ คิดว่าสิ่งนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของแผ่นเสียง นอกจากนี้ก็มีเพลง “Superstition”, “Songs in the Key of Life”ของ Stevie Wonder 

“Dead Predidents” ซิงเกิลเพลงจากอัลบั้ม Reasonable Doubt ของ Jay-Z
อัลบั้ม Songs in the Key of Life ของ Stevie Wonder

ร่วมงานกับค่าย Def Jam ได้อย่างไร ?

เริ่มจากการทำเพลงเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อเราทำเพลงออกมาก็มีคนฟังเยอะมากขึ้น ก็เลยมีความอยากทำเพลงภาษาอังกฤษด้วย พอเห็นว่ามันไปได้ เลยอยากทำให้เป็นค่ายเพลง เริ่มจากการไปต่างประเทศ ดูงานค่ายเพลงต่าง ๆ แต่ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้ว่าควรเริ่มทำอะไร อย่างไรดี เมื่อมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ก็เริ่มมองทางออกว่าอยากเริ่มธุรกิจค่ายเพลงในไทยแบบจริงจัง ใช้เวลาประมาณปีกว่า ๆ ในการเรียนรู้การทำงาน และคิดว่า Def Jam เป็นอีกทางหนึ่งที่จะพลักดันให้ แร๊ปเปอร์ไทยผลิตผลงานเพลงออกมา 

“โคตรมา” ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้ม Def Jam Thailand Compilation Thai School Vol. 1

บทบาทในการทำงานกับค่าย Def Jam มีอะไรบ้าง ?

จัดการในด้านต่าง ๆ การคัดเลือกศิลปินในค่าย และคอยเทรนศิลปินครับ

สำหรับ Def Jam Thailand เรามองหาอะไรในตัวศิลปิน แล้วอยากให้ฮิปฮอปไทยไปในทิศทางไหน ?

ผมมีจัด Writing Camp เป็นการแข่งขัน จะมีที่โดดเด่นเลยคือ Stickyrice Killah และ Ziggavoy ทำออกมาได้ดี เขียนเพลงได้เยอะเลย 4 วันเขียนได้ถึง 11 เพลง จึงเลือกมา การเลือกหาตัวตนศิลปินผมจะฟังเพลงของพวกเขา จะดูว่าเขาสามารถเขียนเพลงให้ตัวเองได้ หรือผลิตผลงานให้คนอื่นได้หรือไม่ จะให้ความสำคัญกับผลงานเพลง และการทำงานร่วมกับเด็กรุ่นใหม่ในช่วงวัยรุ่นก็ไม่ยากเพราะผมเองก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน บวกกับผมเองไม่ได้เป็นคนที่ซีเรียสขนาดนั้น

บาลานซ์เวลาเรื่องงานกับครอบครัวอย่างไรบ้าง ?

ที่ทำงานและสตูดิโอใกล้บ้าน ตอนเช้าวันอังคารและพฤหัสบดีจะส่งลูกและไปรับลูก ๆ ตอนเย็น พาลูกเข้านอน แล้วเข้าห้องอัดเพลง (ซึ่งอยู่หน้าบ้าน) วันเสาร์และวันอาทิตย์ก็จะไม่ได้ทำงานอะไรมาก ในวันอาทิตย์จะให้ลูกทั้งวัน หากิจกรรมให้เขาทำ

ในส่วนของเพลง “Coming Home” มีเสียงลูกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเพลง แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องมีลูกเข้ามา แต่ด้วยเนื้อร้องและองค์ประกอบของเพลงก็เอื้อให้การมีส่วนร่วมของลูกเข้ามาแจม ส่วนตัวผมคิดว่ามันน่ารักมาก

ขัน, เดย์และ เวย์ วงไทเทเนี่ยม

ความแตกต่างในการทำเพลงและ MV เมื่อ 20 ปีที่แล้ว กับปัจจุบันต่างกันอย่างไร ? และอะไรคือเสน่ห์ของแต่ละยุคในการทำเพลง ?

ตอนนั้นผมต้องอาศัยขันให้เป็นคนอัดให้ ตอนนั้นขันทำงานในสตูดิโอในช่วงกลางวัน พอตอนกลางคืนผมกับเดย์เลิกงานสี่ห้าทุ่ม ก็จะไปหาขันที่สตูดิโอ เราก็จะแอบอัดเพลง เที่ยงคืนถึงตีห้า จะเป็นแบบนี้ทุกวัน ทั้งอัลบั้ม “AA” และ “Province 77” ก็จะอัดในสตูดิโอของขันครับ สำหรับ MV Thaitanium ในตอนแรก ๆ ก็จะลำบากเรื่องการหากล้องถ่ายทำ ผู้กำกับวิดีโอและการสร้างวิดีโอหนึ่ง ๆ ในสมัยนั้นมันแพงมาก แล้วก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามเวลา คุณภาพดีขึ้นทั้งอัลบั้ม

เพลงไหนเปลี่ยนชีวิตของเวย์ ?

เพลง “ทะลึ่ง” เปลี่ยนชีวิตไปเลยครับ ทำให้มีงานเข้ามาเยอะมาก วันละ 2-3 คอนเสิร์ตต่อวัน ทัวร์เพลงอยู่ 4-5 ปี

“Just keep doing it, do more homework

and learn more about Hip-Hop in order

to go further.”

มีอะไรอยากฝากคนที่อยากเริ่มฟังเพลงฮิปฮอป และคนที่อยากจะเป็นแร็ปเปอร์ หรือกำลังเดินอยู่ในเส้นทางนี้ไหม ?

ทำการบ้านเยอะ ๆ และ Just keep doing it, do more homework and learning more about Hip-Hop in order to go further.

สุดท้ายแล้วฝากผลงานหน่อย

ขอฝาก Def Jam Thailand นะครับ ในปี 2021 จะมีผลงานเพลงออกมาให้ฟังกันเรื่อย ๆ นะครับ

ติดตามผลงานของ DaBoyWay ได้ทาง Instagram: @daboyway และค่ายเพลง Def Jam Thailand ที่จะมีผลงานออกมาให้ฟังกันเรื่อย ๆ

ติดตามผลงานของ DaBoyWay ได้ทาง Instagram: @daboyway และค่ายเพลง Def Jam Thailand ที่จะมีผลงานออกมาให้ฟังกันเรื่อย ๆ