
เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้นั้นได้มีการพัฒนามาเพียงแค่ 70-80 ปีก่อนเท่านั้น แต่ต้นตอเทคโนโลยีนั้นมีมาตั้งแต่ 160 กว่าปีก่อนแล้ว โดยจุดเริ่มต้นนั้นเริ่มในปี 1857 มีนักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศสนามว่า Édouard-Léon Scott de Martinville ได้ทำการประดิษฐ์เครื่อง Phonautograph ขึ้น ตัวเครื่องนั้นใช้การสั่นสะเทือนของแผ่น Diaphragm ต่อกับหัวเข็มเพื่อให้หัวเข็มวาดเส้นคลื่นเสียงที่ได้ลงบนแผ่นกระดาษ โดยมันทำการแค่บันทึกคลื่นเสียงเท่านั้นไม่สามารถเล่นเสียงนั้นได้จึงได้ถูกใช้ในงานวิจัยหรือแล๊บทดลองเท่านั้น

ต่อมาปี 1877 Thomas Alva Edison ได้เปิดตัวสิ่งประดิษฐ์เครื่อง Phonograph ขึ้น ซึ่งเครื่องนี้สามารถทำได้ทั้งการบันทึกเสียงและเล่นเสียง โดยประกอบด้วยกระดาษแข็งทรงกระบอกห่อด้วยฟอยล์ดีบุกซึ่งเป็นพื้นผิวส่วนที่บันทึกเสียง เล่นด้วยการไขลานด้วยมือหมุนไปรอบโดยมีหัวเข็มเป็นตัวอ่านเสียง แม้จะไม่ได้คุณภาพเสียงดีมากนักและอาจจะเล่นซ้ำได้แค่ไม่กี่รอบแต่ก็นับเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ ส่งผลให้เค้าถูกยกย่องเป็นบิดาแห่งเครื่องเล่นเสียง เนื่องจาก Thomas Edison ไม่ค่อยได้พัฒนาเครื่อง Phonograph ต่อมากนัก ภายหลังเลยได้มี Alexander Graham Bell ได้พัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นในช่วงต้นปี 1880s โดยได้เปลี่ยนพื้นผิวจากเดิมที่เป็นฟอยล์ไปเป็นขี้ผึ้งแทนรวมทั้งการเดินของหัวเข็ม ส่งผลให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นและยังทนทานต่อการเล่นได้หลายครั้งมาขึ้นด้วย

จนมากระทั่งปี 1887 นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน Emile Berliner ได้ทำการพัฒนาคิดค้นระบบและจดสิทธิบัตรสิ่งที่เรียกว่า Gramophone ขึ้นหรือก็คือแผ่นเสียงนั่นเอง ซึ่งเป็นต้นแบบของแผ่นเสียงจนมาถึงปัจจุบัน เค้าได้ทำการเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นรูปทรงกระบอกให้กลายเป็นรูปทรงแผ่นกลมเรียบๆ หรือก็คือทรงแผ่นเสียงแบบในปัจจุบันโดยเริ่มแรกนั้นทำขึ้นจากยาง ขี้ผึ้งและครั่ง (ภายหลังถึงจะได้เปลี่ยนเป็น Poly Vinyl) ส่งผลแก่กระบวนการการผลิตและวัตถุดิบที่ช่วยทั้งลดเวลาและต้นทุนทำให้การฟังเพลงเข้าถึงง่ายกับทุกคนมากขึ้นและเริ่มผลิตเพื่อวางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1889 เฉพาะในยุโรปและเริ่มจำหน่ายทั่วไปในปี 1892 แต่แรกนั้นแผ่นจะเป็นแบบ 5 นิ้วและถูกเขียนลงบนแค่หน้าเดียวของแผ่นเท่านั้น แบบ 7 นิ้วตามมาในปี 1895, 10 นิ้วในปี 1901, 12 นิ้วในปี 1903 และสามารถเขียนเพลงได้ทั้งสองด้านของแผ่นในปี 1904 โดยแต่ละด้านสามารถเล่นเพลงได้ประมาณ 3-4 นาทีเท่านั้น

ภายหลังจากที่ระบบ Gramophone นั้นได้พัฒนาจนคุณภาพเสียงจนเทียบเท่ากับระบบ Phonograph แล้วก็ได้ทำให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างสองระบบนี้ในช่วงปี 1910s ถึงกับเรียกได้ว่าเป็น Format War เลยทีเดียว แต่ด้วยความที่ Gramophone สามารถผลิตแผ่นเสียงได้ง่ายกว่า พกพาสะดวกกว่าและจัดเก็บง่ายทำให้แท่งกระบอกเสียงในระบบ Phonograph นั้นค่อยๆหายไปจนปิดตัวอย่างถาวรในปี 1922 ต่อจากนั้นในช่วงท้ายของยุค 1920s ระบบหมุนมือก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยระบบไฟฟ้าทำให้การหมุนมีความคงที่มากขึ้นและถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงในแบบปัจจุบัน